Sunday, January 23, 2011

ตะลุย Kuala Lumpur กับภารกิจพิชิต vincci ภาค 1

แอร๊ยยย >.< ตั้งชื่อเอนทรี่ซะอย่างกับรายการเกมส์โชว์ที่ผู้เข้าแข่งขันต้องแข่งกันพิชิตด่านต่างๆยังไงยังงั้น แต่ขอบอกว่าดีใจมากกกกที่ได้ไฟลท์ไปกัวลา เนื่องจากว่าครั้งที่แล้วไปแล้วติดใจ vincci มากกกก เนื่องจากรองเท้ากะแว่นตาน่าร้ากกก และราคาน่าร๊ากกกกยิ่งกว่า 5555การได้ไปกัวลาครั้งนี้จึงเพื่อกลับไปร้านนี้โดยเฉพาะเชียว อร๊ายยยย ตื่นเต้ลลลล └( ̄▽ ̄)>

โรงแรมที่เค้าจัดให้พักชื่อว่า Pan Pacific ซึ่งเป็นโรงแรมในแอร์พอร์ตนั่นแหละ เข้ามาก็จะเป็นแบบนี้
เมื่อมองเข้ามา


เมื่อมองออกไป

แถมไปกัวลาครั้งนี้รู้สึกจะเป็นเลย์โอเวอร์ (การที่เราได้นอนค้างที่เมืองนั้นๆ) ที่ยาวที่สุดตั้งแต่บินมาเลยมั้ง (ยกเว้นไฟลท์กรุงเทพ-ฮานอยน้า) เนื่่องจากได้อยู่ที่นั่นตั้งเกือบสามวันแน่ะ เนื่องจากมันเป็นกัวลา-ภูเก็ตน่ะเอง เราบินไปถึงกัวลา เลยได้พัก 1 วัน วันรุ่งขึ้นทำกัวลา-ภูเก็ต ภูเก็ต-กัวลา แล้วก็ได้พักอีก 1 วัน แล้วดึกๆคืนนั้นก็ทำไฟลท์กลับ ก็เลยมีเวลาออกช็อปปิ้งกันสองวันเลยทีเดียว ≧▽≦

ไปถึงวันแรกวันที่ 16 ตอนประมาณ 9.30 น. ซึ่งทุกคนจะเหนื่อยกันมากเนื่องจากเป็นไฟลท์ยาว เลยนัดกันว่าเดี่ยวลงมาเจอกันซักประมาณบ่ายโมงครึ่งละกัน นอนเอาแรงกันก่อน นัดกันเสร็จสรรพก็เลยขึ้นมาบนห้อง
ห้องเตียงคู่ เล็กๆ น่ารัก


และเนื่องจากว่ามีเวลาอีกแค่ 4 ชม. และเราเป็นคนที่ถ้าเหนื่อยมากๆแล้วนอนเนี่ย ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น เราก็เลยไม่นอนดีกว่า เนื่องจากว่าอยากไปช็อปจัด 555 ก็เลยสั่งรูมเซอร์วิสขึ้นมากินดีกว่า จำได้ว่าตอนไปจากาตาร์ ตอนที่กินนาสิโกเรงที่นั่น พี่ๆเค้าคุยกันว่าที่กัวลาก็มี เราก็เลยเปิดเมนูดู เออ มันมีจิงๆด้วยเว้ย เลยสั่งมาลองกินดูซักหน่อยว่าจะอร่อยสู้ที่จากาตาร์ได้มั้ย ราคาก็ 41 ริงกิต ได้ลดยี่สิบเปอเซนต์เลยเหลือสามสิบกว่าๆ ก็ไม่ได้แพงโอเว่อร์ เลยจัดมาซะหน่อย
ออกมาน่าตาเป็นแบบนี้


หน้าตาคล้ายกันมาก แอบกลับไปดูรูปที่จากาตาร์ได้นะ ฮ่าๆๆ



น่าตาก็ออกมาเป็นแบบนี้ คล้ายๆกัน แต่ว่าข้าวผัดของที่นี่จะไม่เผ็ด เนื่องจากมีน้ำพริกถ้วยเล็กๆแยกมาให้ต่างหาก และที่นี่ก็ไม่มีกุ้งชุบแป้งทอดมาให้ด้วยนอกนั้นรวมๆแล้วเหมือนกัน หลังจากลองชิมดูแล้ว อยากบอกว่าที่จากาตาร์อร่อยกว่าง่ะ -*- เนื่องจากข้าวผัดของที่นั่นมันเข้มข้นมากกว่าอ่ะน่ะ แต่ของที่นี่จืดอะ ถึงแม้ว่าเราจะใส่น้ำพริกนั่นจนหมดแล้วก็ตาม แต่รวมๆก็พอกินได้ ไม่ได้แย่อะไรมากมาย ก็ยังดีที่มีให้กินอ่ะนะ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะสั่งอะไรมากิน นอกจากเบอร์เกอร์โลดดด ตล๊อดดด

หลังจากกินไรเสร็จสรรพก็นั่งเล่นเนตรอเวลา โรงแรมที่นี่ดีอะ ให้เล่นเนตฟรีด้วยแหละ เค้ามีสายแลนให้ต่อก็เล่นได้เลย แอร๊ยยยย ประทับใจมากกก ไม่งกเหมือนบางที่ เชอะๆๆ (จำได้เลย เชอราตันที่มิลาน wi-fi ชั่วโมงละ 36 ยูโร จ๊ากกกกกกกกก @[]@!!  แกจะบร้าหรอออออ อย่างนี้มันต้องแฉ 555 สะจายยยยย )

แถมโรงแรมนี้มี crew lounge ด้วย ไม่งก ชิๆๆๆ (ได้กัดโรงแรมหลายๆที่ๆงกเหลือเกิน 555 มีฟามสุข  )

แถมอยู่ชั้นแปด ชั้นเดียวกะห้องเราเลยยย เสร็จตรู 555

เดินเข้ามาก็เจอทางแยกให้เลือก ฮ่าๆๆๆ

มีโต๊ะทานข้าว (แต่ไม่มีใครมา อิอิ)

-
มีโต๊ะพูล (แต่ไม่มีใครเล่น ฮ่าๆ) ทุกคนเหนื่อยจัด


แถมมีชากาแฟ และเนตให้เล่นฟรีๆด้วย (โรงแรมไหนไม่มีปรับปรุงตัวเองด่วนนะยะ 555)


ก่อนเวลา 5 นาที เราก็ลงไปข้างล่าง ก็ลุ้นๆว่ามันจะลงมากันไหม เพราะเห็นพวกหนุ่มๆเปรยๆว่าจะไปเที่ยวกันคืนนี้ ไอ้เราก็ไม่ได้อยากไปเที่ยวเท่าไหร่ เปลืองตังค์ ก๊ากกกกกกก >.< (เผยไต๋) เอาตังค์ไปช็อปปิ้งดีกั่ว แถมเราก็อยากไปกินบะหมี่เป็ดร้านนึงในเมือง ครั้งที่แล้ว (ตอนที่มาสมัครแอร์ตอนนั้น) มกินแล้วอร่อยม๊ากกก เลยกะจะไปกินอีก ใจนึงก็เลยแอบๆหวังว่าถ้าไม่มีใครลงมา จะได้ไปคนเดียวจะได้ช็อปกะไปกินได้คนเดียวชิวๆ ไปกะผู้ชายท่าทางจะช็อปไม่สนุก แต่ถ้าไม่มีใครลงมาก็แอบงงๆว่าจะไปคนเดียวได้ไหมหว่า ไม่เค๊ย ไม่เคย

 สรุป รอจนถึงเวลา ก็ไม่มีทีท่าว่าใครจะลงมา ก็เลยขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มิดชิดหน่อย เนื่องจากไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่ได้หรอก ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ต่างบ้านต่างเมืองด้วย ก็เลยต้องออกคนเดียวด้วยประการฉะนี้ เวลานั้นก็ประมาณบ่ายสองได้แล้ว (แฮ่มๆๆๆ แอบโกรธนะยะ นัดกันไว้ซะดิบดี แต่แล้วไม่ลงมา ให้ชั้นนั่งถ่างตาไม่หลับไม่นอน รอเวลา รู้งี้ชั้นไม่ออกตั้งนานแล้วหรอออ !!! เฮ่อ ไม่เป็นไร คราวหน้าคราวหลังถ้าออกคนเดียวได้เพราะรู้ทางแล้ว ก็จะออกคนเดียวแล่ว ฮึ่ยๆๆๆ

โรงแรมก็มีรถบริการจากโรงแรมเข้าตึกแอร์พอร์ต นั่งประมาณ 30 วิก็ถึง 555


ก็เลยเดินลงไปถามประชาสัมพันธ์ว่า ถ้าจะเข้าเมือง จะไปยังไงได้บ้าง ก็ได้ความมาว่ามีรถไฟในแอร์พอร์ตเลย 35 นาที 35 ริงกิต (350 บาท) ซึ่งเมื่อก่อนลูกเรือจะได้ส่วนลด เหลือแค่ 15 ริงกิต แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ได้แล้ว กับอีกทางคือรถบัส 1 ชม. 10 ริงกิต แต่ถ้าเป็นลูกเรือเหลือแค่ 5 ริงกิต (จ๊ากกกก >[]< 50 บาทน่ะเหรอ)

ตอนแรกก็กะจะไปรถไฟ เพราะเร็วดี ไป-กลับจะได้ไม่เสียเวลา จะได้ไม่ต้องกลับคนเดียวมืดๆค่ำๆ ก็ยืนคิดตรงเคาน์เตอร์อยู่พักนึง ไปไงดีวะ แต่คิดไปคิดมา เอ รถไฟ ไป-กลับ 700 บ. กะรถบัส 100 เดียว เหลือส่วนต่างตั้ง 600 บ. เอาไปซื้อรองเท้าวินชี่ได้เกือบคู่เลยนะน่ะ คิดได้ดังนั้นก็ "เอ่อๆ คุณคะ ท่ารถนี่ไปทางไหนคะ" 55555555

โชคดีที่ท่ารถบัสอยู่ใกล้นิดเดียว เดินสองนาทีถึงเลย ก็ขึ้นไปบนรถบัส รอเวลารถออกอีกครึ่งชม. รถก็ออกไปในเวลา 14.30 และเราก็มาถึง KL Sentral ในเวลาบ่ายสามครึ่งพอดี จากนั้นก็ไปต่อรถไฟ เพื่อไปตึก Petronas หรือตึกแฝดนั่นแหละ เพราะร้านที่เราจะไป มันอยู่ในห้างในตึกแฝดนั่นแหละ แต่วันนี้ ไม่ได้พกกล้องมาด้วยเพราะกะมาถือข้าวของพะรุงพะรัง กะรีบช็อปรีบกลับ กะอีกอย่าง ตอนที่มาครั้งที่แล้ว ถ่ายรูปกะตึกแฝดมาประมาณสามพันรูปได้ 5555 เลยไม่ตื่นเต้นแล้ว

ก็นั่งรถไฟจากสถานี้ KL Sentral มาที่ KLCC ด้วยราคาแค่ 1.60 ริงกิต (นั่งประมาณห้าหรือหกสถานีเนี่ยแหละ จำไม่ได้อ่ะ แค่ 16 บาทเอง ถูกม๊ากๆ)

สุดท้ายก็มาถึงตึกแฝดในราคา 56 บาท ภูมิใจมั่กๆ 555

จริงๆแล้ว นอกจากร้าน vincci แล้ว ก็มีอีกร้านนึงที่ทำให้อยากออกมาที่นี่ นั่นก็คือร้าน Sasa เป็นเหมือนร้านขายเครื่องสำอางค์ยี่ห้อทั่วๆไป กะพวกของคิขุน่ารักจากญี่ปุ่น ซึ่งครั้งที่แล้วเรามาซื้อร่มของที่นี่ไป คือมันน่ารักมากกก และเป็นแบบ limited edition ด้วย แต่ด้วยความ...ส่วนตัว ก่อนกลับเมืองไทยคราวนั้นเราลืมไว้บนรถบัสน่ะแหละ ไม่ได้เอากลับมาด้วย เสียใจคอดๆๆ
︶︹︺ คราวนี้ก็เลยอยากกลับมาเมียงๆมองที่ร้านอีก เผื่อว่ามันจะมีร่มที่คล้ายๆกันแบบนั้น

เมื่อมาถึงห้างก็ตระเวนหาร้านวินชี่ก่อนเลยจ้า ช่างบังเอิญเสียจริงที่ห้างทั้งห้างกะลังเซลด้วยเนื่องจาก chinese new year อะไรนี่แหละ ว้าวๆๆๆ เข้าทางแล้วตรู 5555
|
|
|
|
แต่ปรากฎว่า..............ว่า.............!!!
|
|
|
|
เดินหาอยู่เป็นชม.ทั้งวินชี่ทั้งซาซ่า หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ อ๊ากกกกกกกกก >[]<
ม่ายยยย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ก็เลยเดินเข้าร้าน vincci accessories ที่มันจะมีแค่กระเป๋า แว่นตากะเครื่องประดับของวินชี่ ยกเว้นรองเท้า ก็ถามเค้าว่า ร้านรองเท้าวินชี่มันอยู่ตรงไหนคะ พนักงานก็บอกมาว่า..............ว่า...................
|
|
|
|
"ร้านวินชี่ปิดไปแล้วค่ะ"
|
|
|
|แอร๊ยยยยยยยยยยยยยย!  @#@$%^%^&**#@!# ม่ายจริ๊งงงงงงงง

T_T เสียจายยยย ตรูอุตส่าห์มาเพื่อร้านนี้
|
|
|
|
แต่ไม่เป็นไร ฮึดสู้เว้ย 555 เหลือร้านซาซ่าอีกร้านนึง ยังโอเค ก็เดินหาอีกพักนึงก็ไม่เจอ เลยกะจะถามประชาสัมพันธ์ เดินหาก็ไม่เจออีก ห้างมันซอกแซกพิกล มีทางออกกี่ทางก็ไม่รู้ เลยถามยาม ยามบอกก็เดินไปทางขวานั่น เลี้ยวแล้วเจอเลย เอ้า ก้เดินกันไป พอไปถึง ก็แบบ ไหนวะ ประชาสัมพันธ์ โอ้ยยยย จะเป็นลม มันจะเจออะไรบ้างไหมเนี่ยย ก็เลยถามคนแถวนั้นว่าซาซ่าอยู่ชั้นไหนคะ
|
|
|
|
ซาซ่าปิดไปแล้วค่ะ (ตรึ๊ง!)
|
|
|
|
T_T


นั่งรถมาไกลมาก ต้องต่อรถไฟมาอีก มาถึงก็เดินซะลมแทบจับ เพื่อจะได้รู้ว่ามันปิดไปแล้วทั้งสองร้าน!!!

แอร๊ยยยยยยยยยยยยย

ขอกลับไปพักเหนื่อยที่โรงแรมแป๊บ พร้อมกับหาวิธีไปวินชี่ให้ได้ วันหยุดก็เหลืออีกหนึ่งวัน เป็นไงเป็นกันวะ ยังไงก็ต้องหาวินชี่และซาซ่าให้เจอให้ด้ายยยยยยยยยยยยย


แล้วเจอกันภาค 2 ค่ะ
Icon Mini

Saturday, January 15, 2011

Roma......i shall come back!!!

เพิ่งกลับมาจากกรุงโรม ประเทศอิตาลี่จ้าาา ไปวันที่ 11/01/11 ด้วยหล่ะ (แล้วไง??) 555 อยากบอกว่าเป็นประเทศที่สวยม๊ากกกกกกกก ตึกรามบ้านช่องสวยสุดๆๆ เป็นศิลปะแบบตะวันตกที่เราไม่ได้เห็นบ่อยๆ แถมเมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะม๊ากกกกก แต่เรามีเวลาที่นี่นิดเดียว เลยไปเที่ยวได้ไม่หมดอ่ะ แถมเรากะเพื่อนดันหลงทางกันอีก -*- เลยไม่ได้ไปไหนเท่าไหร่เลย T_T


นี่คือห้องพักจ้า อยากบอกว่าเชอราตัน สาขาโรมนี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยอ่ะ เพราะว่ากระติกน้ำร้อน ชา กาแฟไม่มีให้ในห้องพักอ่ะ แถมเราไปแบบเกือบเป็นหวัดอยู่แล้วเลยอยากดื่มชาร้อนๆ แต่ก็แบบไม่มีชา กาแฟ เครื่องทำน้ำร้อน ตั้งแต่บินมาก็เพิ่งเจอทีแรกนี่แหละ แเต่ก็ไม่เป็นไรเท่าไหร่ เพราะเราได้มาโรมมมมม 5555

พวกเราไปถึงโรงแรมตอนบ่ายสอง บ่ายสองครึ่งก็นัดกันลงมาเจอที่ล็อบบี้ ไม่หลับไม่นอนกันเลยทีเดียว ไม่ได้หรอกยังไงก็ต้องออก เนื่องจากวันรุ่งขึ้นเก้าโมงก็ต้องออกจากโรงแรมทำไฟท์กลับแล้ว ยังไงก็ต้องออก (กลัวไม่ได้เที่ยวจัด)

ลงมากันครบทีม 6 สาวที่นัดไว้ว่าจะไปด้วยกันเนื่องจากมาที่นี่เป็นครั้งแรกกันหมด ก็ถามมาได้ความว่าเมโทรอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม เดิน 10 นาทีถึง พวกเราก็ออกเดินทาง

อากาศวันที่ไปวันนั้นถือว่าหนาวนิดหน่อย ประมาณ 11 องศาได้ แต่ก็ไม่ได้หนาวแบบสต็อกโฮล์มอ่ะน่ะ ก็เลยสบายกว่า (แค่) นิสส์นึง ^^

หลังจากขึ้นเมโทรที่สถานี EUR Magliana นั่งมาอีกประมาณ 5 สถานีก็ถึง Colosseum เรากะคนญี่ปุ่นชื่อ อายะ (ชื่อญี่ปุ๊นน ญี่ปุ่นนเนาะ) เลยแยกกะอีกสี่สาว เนื่องจากอีกสี่สาวอยากไปวาติกันกันก่อน แล้วเรากะอายะก็ถึงสถานี Colosseo




เดินออกมาจากสถานีรถไฟก็เจอเจ้านี่เลยจ้าาาา โคลอสเซียม



ยิ่งใหญ่ม๊ากกกก อลังการงานสร้าง เห็นเค้าว่าตอนที่มันถูกสร้างสมัยนู้นจุคนได้ตั้งเกือบๆ 50,000 คนแน่ะ สมัยแรกๆที่มันสร้าง เค้าเอาไว้เป็นสถามกีฬาเอาไว้ดูอะไรที่พักผ่อนหย่อนใจแหละ นั่นก็คือการโยนคน (ที่ทำผิดมั้งอ่ะ) ให้สิงโตกิน O_o!!

แต่นั่นมันก็นานนมาแล้ว มันก็ผุพังไปตามกาลเวลา แต่ถึงมันไม่ไหม่เหมือนเมื่อก่อน แต่เรายังคงรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ อลังการของอาณาจักรโรมันสมัยก่อนเลยอ่ะ เราก็เลยถ่ายรูปมามันซะหลายมุมเลยยย มาทีนึง เอาให้คุ้ม 55555


เรากะอายะ แอร์ญี่ปุ่น น่าร้ากก




ถ่ายมากันทุกมุมเลยทีเดียว


 หลังจากถ่ายรูปกันเล่นๆ เพลินๆเสร็จ อายะบอกว่าหิวแล้ว เราก็ -*- เอิ่มม เวลาก็มีนิดเดียวนะคะคุณขา เที่ยวยังไม่ทั่วเลย จะหาไรกินซะแล้ว แง่วๆๆ เราก็เลยเออๆอืมๆ กินก็ได้ (ฟระ!!) ก็เลยคุยกันว่า งั้นเราหาไรกินกันก่อน พอกินเสร็จก็ค่อยไป Trevi Fountain และวาติกันละกันเนอะ ชีก็เออๆออๆตามเราไป เนื่องจากชีไม่ได้เตรียมหาข้อมูลเที่ยวอะไรมาเลยเนื่องจากโดนดึงมาจากแสตนด์บาย

คิดได้ดังนั้น เราจึงเอาโพยที่เราจดมาออกมาดู ว่าร้านอาหารที่น่านั่งมันอยู่แถวไหนบ้าง ก็เจอในโพยว่ามีที่ Piazza Navona มีร้านอาหารน่านั่ง กินชิวๆ รับบรรยากาศแถมอ่านเจอมาจากที่ไหนซักที่บอกว่ามันอยู่ไกล้กะน้ำพุ Trevi นั่นแค่สถานีเดียว (แต่อยากบอกว่ามันไม่ใช่ค่ะ) พวกเราก็เลยออกเดินทางตามหาที่นั่นกัน ณ บัดนั้น โดยที่หารู้ไม่ว่าเราสองคนจะเริ่มต้นช่วงเวลาแห่งการหลงทาง ณ บัดนาวเช่นกัน 5555

แต่ขอสรุปสั้นๆเลยดีกว่าว่าพวกเราใช้เวลาหาที่นั่นกันประมาณเกือบสองชั่วโมงได้ วนไปวนมาซะรอบเมือง นั่งรถไฟ เดิน และนั่งรถเมล์ เยสสส ท่านอ่านไม่ผิดค่ะ 555 พวกเรานั่งรถเมล์กันไปจนถึงที่นั่นค่ะ

ถ่ายกะตึกรอบเมืองระหว่างเดินหา Piazza Navona 
และเราก็ทำสำเร็จ วู้ๆๆๆๆ
เล่นเอามาถึงซะเกือบค่ำ

ตึกที่เมืองนี้มันช่างสวยแปลกตาจริงๆ

และแล้วเราก็เลือกร้านที่ติดกับน้ำพุที่เห็นข้างบนนั่น บรรยากาสร้านที่นี่ดีมากกกก นั่งติดน้ำพุ มีคนมาแสดงดนตรีเปิดหมวก เล่นเพลงเพราะๆโรแมนติคให้ฟัง เสียงน้ำพุเคล้าเสียงเพลงช่างโรแมนติคจนมีคู้รักคู่นึงเต้นรำกันข้างๆน้ำตกและโต๊ะที่เรานั่งน่ะแหละ กล้ากันดีจัง

ครั้งที่แล้วไปมิลานก็ลองสปาเกตตี้แล้ว มาคราวนี้ขอเปลี่ยนเป็นพิซซ่าบ้าง กะขอลองแบบต้นตำรับซักทีเถอะ ว่ามันจะเป็นยังไง แล้วเราก็สั่ง pizza with parma ham มา ได้หน้าตาเป็นแบบนี้ ^________^


 และนี่ก็อายะกะ seafood pizza และเบียร์

นี่พิซซ่าของเค้าาาา น่ากินม้ายยยย ถ้าน่ากินเค้าให้หมดเลยเอามั้ย เพราะรสชาติเฮียมาก (สำหรับเรานะ) ไอ้แฮมอะไรนั่น กินเข้าไปนะ กลิ่นมันทำเอาเราแทบอ้วกแน่ะ อยากบอกว่าเข็ดมากกะอาหารอิตาเลี่ยน จะไม่สั่งไรแบบนี้อีกเด็ดขาด แต่ว่าเราอาจเป็นคนเดียวก็ได้มั้ง เห็นอายะก็ชอบของค้านะ แต่เราคงไม่เอาอีกอ่ะ ปากคงไม่ถูกกะอาหารต่างชาติ (ที่ไม่ใช่อเมริกัน) จริงๆ

มื้อนี้ของเรา พิซซ่านี่ราคา 16 ยูโร ส่วนน้ำเปล่าขวดละลิตรนึงอะ ราคา 5.50 ยูโร (แกบ้าเปล่าเนี๊ยยยยย น้ำขวดละประมาณ 200 O_o!!!) แพงได้ใจเจงๆ

สุดท้ายขากลับนั่งรถมาลงที่โคลอสเซียมเพื่อนั่งรถไฟกลับโรงแรมกัน เลยได้โคลอสเซียมในตอนกลางคืนมาด้วย สวยดีเนอะ


 สรุป มาโรมครั้งนี้ เที่ยวไม่คุ้มอย่างแรงงงง แพลนมาเยอะมากกกกกกว่าจะไปไหนบ้าง ยังไม่ได้ไปวาติกัน, Sistine Chapel ที่อยากดู The Last Judgement กับ God Creating Adams เลยอ่ะ แล้วก็ St. Peter's Bacilica เพื่อดู La Pieta เลยยยย T_T เศร้า ไหนจะ Trevi Fountain เอย Spanish Steps เอย แต่ไม่เป็นไร ยังไงจะมาโรมอีกให้ด้ายยยยยยยยยยยยยยยย

ไปและ o(-_/|\_-)o

Sunday, January 2, 2011

Happy New Year 2011!!

ก่อนอื่น HAPPY NEW YEAR!!!!!!



สุขสันต์วันปีใหม่นะคะ ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆในปีกระต่ายนี่นะคร้าาาา

เริ่มต้นปีกันด้วยไฟล์ที่สั้นที่สุดของสายการบินเราเลยทีเดียว นั่นก็คือบาเรนท์ ซึ่งเป็นการทำไฟล์นี้เป็นครั้งแรกของเราเช่นกัน

เวลาของทั้งไฟล์คือ 45 นาที เมื่อลบกับเวลาเครื่องขึ้นและลงไป เราก็จะเหลือเวลาเสิร์ฟผู้โดยสาร 15 นาที >[]<  เจี๊ยกกกกกกกกกกก!!!

และคิดดูทั้งลำมีร้อยกว่าคน ทั้งเสิร์ฟและเก็บอีก และต้องเช็คความปลอดภัยก่อนเครื่องลงอีก โอ้ววว โนวววว

แต่ว่าโชคดีอย่างมากๆคือตอนนี้ บริษัทเปลี่ยนเซอร์วิสที่เสิร์ฟแล้ว เมื่อก่อนเป็นแซนด์วิชร้อน แต่เดี๋ยวนี้แค่เสิร์ฟน้ำส้มอย่างเดียวแล้ว

แต่ว่าลูกเรือชั้นประหยัดเลยลดลงมาจากสี่คนเหลือแค่สามคน O_o!! จะประหยัดไปไหน

แต่ก็ยังโชคดีอีกอย่างที่ขาไปมีผู้โดยแค่ 36 คน แต่ขากลับนี่เต็มลำ ก็เดินเสิร์ฟเดินเก็บมือเป็นระวิงน่ะแหละ ทั้งไฟล์ไป ไฟล์กลับ

ทำไฟล์นี้ไปแป๊บเดียวกลับแป๊บเดียว อึดใจเดียวก็ถึงแล้ว อีแอร์อย่างเราๆไม่ได้มีเวลากินกันเลยทีเดียว พอเช็คความปลอดภัยเสร็จเรียบร้อย เรากะเพื่อนขอกินอาหารกันได้สองคำมั้ง กัปตันเรียกมาและ "เสร็จกันรึยัง นี่มัน new year นะ รีบกลับบ้านไปทำอย่างอื่นกันดีกว่า" 5555555 พวกเราก็รีบเก็บอาหารเข้าที่และรีบเก็บของกันอย่างรวดเร็ว

รีบทำงานกันยังไม่พอ ต้องรีบกินอีก รีบกินก็ยังไม่ได้กิน ต้องรีบเก็บของกลับบ้านอีก

โอ๊ยยย นี่มันจะเร็วกันไปหมดทุกอย่างเลยใช่ม้ายยยยย