Saturday, March 26, 2011

เดินเล่นในวันสบายๆที่ Lake Zürich

เคยได้ยินคำกล่าวนึงไหมคะว่า "สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝัน" ใครกันหนาเป็นคนคิดขึ้นมา มันช่างตรงจริงๆ เพราะเราเชื่อว่าสวิสเป็นดินแดนในฝันของใครหลายๆคน และหนึ่งในใครหลายๆคนนั้นคือแม่เราเอง!!

ก่อนหน้านี้เมื่อหลายปีมาแล้ว เราเคยถามแม่ว่า ถ้าให้เลือกได้หนึ่งประเทศในโลก แม่อยากไปที่ไหนที่สุด แม่ก็จะบอกว่า"สวิส" แม่พูดให้ฟังอยู่เสมอว่า เคยมีเพื่อนแม่ไปสวิสมา แล้วเค้ามาเล่าให้ฟังว่ามันสวยมากกกกก เหมือนอยู่ในสวรรค์ สวยมากขนาดที่ว่าชาตินี้ ตายไปก็ไม่เสียดายแล้ว

คงเป็นเพราะเพื่อนแม่คนนี้เป็นแน่เชียว ที่ทำให้แม่เราจำฝังใจมาตลอดว่ามันสวยมาก ฉันอยากไปปปปปป

ตอนนั้นเราเองก็แอบคิดเหมือนกันว่า โห มันจะสวยขนาดนั้นเลยเหรอ อยากไปเห็นเองกับตาซักครั้ง แต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ไปหนอ ก็จนกระทั่งบินมาเข้าเดือนที่สามเนี่ยแหละ ที่เห็นซูริคในตารางบิน ก็ถึงกับอึ้งกันเลยทีเดียว ไม่คิดว่าจะได้ไปที่ๆแอบฝันถึงมานานเร็วขนาดนี้ คราวนี้แหละจะได้เอารูปไปให้แม่ดูเองกับตาซะทีว่ามันจะสวยแบบที่เค้าว่าไหม

ว่าแล้วก็ไปกันเล้ยยยยย..........

โรงแรมที่เค้าจัดให้พักชื่อว่า Moevenpick Hotel Zurich-Airport ซึ่งก็เป็นโรงแรมที่อยู่แถวๆแอร์พอร์ตน่ะแหละ เอ้า..ไปดูห้องกันดีกว่า
 ห้องก็เล็กๆน่ารัก ไม่ได้ใหญ่โตมากมาย

หลังจากนัดแนะกับทุกคนเรียบร้อยว่าอีก 45 นาทีเจอกันที่ล็อบบี้ พอถึงเวลานัดก็พากันนั่งรถ shuttle bus ของโรงแรมเพื่อไปขึ้นรถไฟเข้าเมืองกันที่แอร์พอร์ต ไปถึงแอร์พอร์ตก็แลกเงินกันนิดหน่อย จำได้ว่าวันนั้นมีเงินน้อยมาก เนื่องจากก่อนไปบินหากระเป๋าสตางค์ไม่เจอ เลยไปไถตังค์เพื่อนมาได้นิดหน่อย 555 ประมาณพันสี่ พอแลกเป็นเงินสวิส ฟรังค์ ตอนนั้นได้มา 38 สวิส ฟรังค์ ตอนได้ตังค์มา ตื่นเต้นกะสีแบงค์มาก เพราะสีสันสดใสดีจริงๆ ไม่เชื่อดูจิ
แลกอะไรเสร็จเรียบร้อยก็ไปจัดการซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมือง สนนราคาก็ไม่แพ๊ง ไม่แพง 12.80 ฟรังค์ แค่เกือบๆ 500 เอ๊ง!!! (เอาจริงๆตอนนั้นคิดในใจ ไม่ต้องกงกินอะไรกันแล้วตรูวันนี้ แค่ค่ารถไปนู่นมานี่อย่างเดียวคงหมด อนาถมะ)

 นั่งรถไฟไม่นานเท่าไหร่ ประมาณครึ่งชั่วโมงก็เข้าเมืองกันมาเรียบร้อย ออกจากสถานีรถไฟปุ๊บก็เจอกับตึกอะไรไม่รู้ สวยดีเลยถ่ายรูปมา
และแพลนวันนี้ของพวกเราคือไปเดินเล่นที่ Lake Zürich ที่ผู้คนนิยมไปเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจ นั่งชิว ระหว่างทางก็จะมีแม่น้ำสายเล็กๆที่ไหลไปออกที่ทะเลสาบ ซึ่งทางเดินเลียบแม่น้ำก็จะมีร้านอาหาร ร้านขายของ โบสถ์ ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองที่น่ารักและดูโรแมนนติคทีเดียว
 ข้ามสะพานจากฝั่งสถานีรถไฟเพื่อไปยังฝั่ง Lake Zürich
 ถ่ายรูประหว่างทาง (เจ้าสองหนุ่ม-สาวข้างหลังคือพวกที่ไปด้วยกัน)
 เดินเก็บภาพสวยๆของบ้านเรือนริมฝั่งแม่น้ำ
 ขอชักภาพเป็นที่ระลึกนิดนุง แบคกราวด์ดูโรแมนติ๊ค โรแมนติค 555

 ฝั่งนู้นมีหอนาฬิกาด้วย
 ฝั่งขวามือเป็นแม่น้ำ ฝั่งซ้ายมือก็จะเป็นพวกร้านขายของ ร้านอาหาร แล้วก็มีโบสถ์ด้วยอย่างที่บอกไป
 เดินเลยโบสถ์มานิดนึงก็ถึง Lake Zürich ซึ่งจะมีคนมากมายมารวมตัวกันเพื่อพบปะเพื่อนฝูง หรือมากันเป็นครอบครัวที่นี่ โดยเฉพาะวัยรุ่นหรือคนหนุ่มสาว เยอะมากกกก และอยากจะบอกว่าหนุ่มสวิสนี่หล่อมากกกกกกกกก (เล่าไปเล่ามา แอบหื่น 555)

 สามสาวขอเก็บภาพเป็นที่ระลึก อยากบอกว่าไฟล์นี้ได้มากับคนไทยด้วย ดีใจมากกกกกกก เดินเล่นชิวๆ ถ่ายภาพสวยๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ๆ จำภาพโรแมนติคๆ คุยกันสนุกๆได้ซักพักก็เป็นอันค่ำ และเริ่มหนาวมาก ก็ประมาณสิบองศาต้นๆ แต่ด้วยเสื้อผ้าที่ไม่ได้หนามาก ทำให้เราหนาวมากกกกก ก็เลยพากันเดินกลับสถานีรถไฟ ระหว่างทางก็ถ่ายรูปซูริคในบรรยากาศแบบกลางคืน รูปที่ออกมาก็สวยไปอีกแบบนะ
 โจรมุมตึก (คอยดักปล้นหัวใจ) 55555555555 เสี่ยวได้โล่
 แสงไฟระยิบระยับอยู่ไกลๆ อยากถ่ายโบเก้งามๆ แต่ไม่มีแบบ
 เอ้า มาเป็นแบบซะเองก็ได้ แต่ไม่มีโบเก้อีก แงๆๆๆ

วิวสวยๆระหว่างทาง 

จุดเดิม ภาพเดิม ต่างเวลา ต่างความรู้สึก แต่ความประทับใจคงเดิม
 สองหอนาฬิกายามค่ำคืน
 กะคุณเพื่อนคนไทยที่ไปด้วยกัน

นี่คือภาพสถานีรถไฟยามค่ำคืน ตึกสถานีรถไฟเค้าสวยดีเนอะ ดูยุโร้ป ยุโรป (อ้าว ก็นี่มันยุโรปนี่หว่า -*-)

หลังจากนั่งรถไฟกลับมาถึงแอร์พอร์ตก็หาอะไรกินกันที่ฟู้ดคอร์ทในแอร์พอร์ตน่ะแหละ แต่ซื้อกลับไปกินกันที่โรงแรม อยากบอกว่ามีร้านอาหารไทยด้วย ดีใจมากกก นึกว่าต้องกินแมคอีกตามเคย ตอนแรกก็กะว่าจะกินแมคอะแหละ เพราะไม่ค่อยมีตังค์ แต่พอเดินไปดูราคาแมคแล้วตกใจมาก เลยเดินกลับมาดูอาหารไทยอีกรอบ แต่ราคาตกใจมากกว่าาา ของที่นี่แพงมว๊ากกกกกก เห็นของแพงหมดทุกร้าน ไหนๆต้องยอมจ่ายแพงแล้ว ขอได้กินอาหารไทยก็ยังดีฟระ

จริงๆอยากกินข้าวกระเพรามากตอนนั้น แต่เค้ามีแต่ข้าวราดแกง เลยเลือกเป็นแกงกะทิไก่ อยากบอกว่าข้าวราดแกงจริงๆนะ แบบที่มีหลายๆเมนูให้เราเลือกเอามาราดข้าวอ่ะ ก็สั่งอันนี้ไป ราคาเท่าไหร่รู้มะ
19 ฟรังค์-----จ๊ากกกกกกกกกก เกือบ 700 บาท ก็ข้าวราดแกงธรรมด๊า ธรรมดาเนี่ยแหละ เจี๊ยกมาก พอลองกิน มันเป็นอะไรที่ไม่อร่อยเท่าไหร่เลยอะ เหมือนเอาผักอะไรไม่รู้ของฝรั่งที่พอจะหาได้มารวมๆกันแล้วก็ใส่กะทิเพียงเพื่อให้มันดูเหมือนอาหารไทยอะค่ะ ก็เข้าใจเค้าแหละ แต่มันแอบหวังว่าจะอร่อยให้คุ้มกับเงินที่เสียไปอะนะ เลยผิดหวังนิดหน่อย (ก็มากอะ 555) แพงไม่ว่า แต่ไม่อร่อยอีกนี่โกรธ แต่เห็นคุณเพื่อนสั่งอาหารตามสั่งเป็นกระเพราไป เสียใจๆ ไม่รู้ว่ามีตามสั่งด้วย โกรธธธธธคูณสอง 555

งั้นขอจบเอนทรี่นี้ไปแบบโกรธๆนะคะ ฮึ่ม อย่าให้กลับไปอีกนะ ถ้าได้กลับไปอีกละก็น่าดูแน่
|
|
|
|
ไม่ได้จะไปต่อว่าเค้านะ แต่จะเปลี่ยนเป็นสั่งกระเพราะต่างหาก อิอิ

Saturday, March 5, 2011

Malé, Maldives!!!


มาแล้วววววววววววว หลังจากดองบล็อกมาเป็นเดือนนนนน แย่มากกกกกกกก    สัญญาว่าจะไม่ทำ (ให้ถึงเดือน 555) อีกแล้วคร้าบบบบ

ตอนนี้นั่งเปื่อยอยู่แต่ในโรงแรมที่มัลดีฟส์ ไม่ได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันไรกะเค้าเลย แต่ว่ารูปที่ลงวันนี้ มาจากที่มามัลดีฟส์ครั้งแรกตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้ว แฮ่ๆ (รู้เลยว่าดองนานเป็นเดือน)

จริงๆมามัลดีฟส์ครั้งนี้ครั้งที่สามแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ออกไปเกาะกะเค้าซักที เพราะว่าจะไปเกาะแบบไป-กลับวันเดียวนี้อะต้องมีคนมาหารกันด้วยหลายๆคน เนื่องจากต้องเช่าเหมาเรือกันไป ไปคนเดียวไม่ด๊ายยย แพงโคดดด

ตอนมาครั้งแรก ที่ไม่ได้ไปเกาะก็เพราะไม่มีใครไปกะเราเนื่องจากลูกเรือคนอื่นเค้าเคยไปกันหมดแล้ว ครั้งที่สองที่มา ก็มีเพื่อนจากไฟลท์เดียวกันจะไปแค่คนเดียว แต่ก็มีลูกเรือไฟลท์ก่อนหน้าอีกสี่คนมาชวนให้หารไปด้วยกัน ซึ่งเป็นเกาะ Paradise ที่เราอยากไปที่สุด แต่เนื่องจากมีคนไปแค่หกคน พอหารกันออกมาก็เป็นเงิน 140 ดอลล่าห์ต่อคน ซึ่งมันก็ค่อนข้างแพงสวดยอดอยู่ ลูกเรือที่จะไปกะเรา ชีเลยเปลี่ยนใจไม่ไปและ ซึ่งมันก็แพงจิงๆอะ

และครั้งนี้ ครั้งที่สามแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ไปเกาะอยู่ดี แง๊ๆๆๆ เนื่องจากคนไปน้อยนิดเหมือนเดิม ก็เป็นอันอดไปอีกตามเคย แต่ใจนึงก็แอบอยากนอนอยู่โรงแรมอยู่แล้วคราวนี้ เนื่องจากเปื่อยรับประทาน 555 แต่ไม่เป็นไร ปลายเดือนนี้มีมัลดีฟส์อีกรอบ ขอให้ได้ไปเกาะซะทีเท้อออออ สาธู้........

เอ้า พล่ามซะยืดเชียววว มาดูรูปสีน้ำทะเลและท้องฟ้าที่นี่ดีกว่าาา
รอยต่อระหว่างน้ำลึกกะน้ำตื้น ทำให้ได้สีที่ตัดกันสวยมากๆ
เดินออกมาจากแอร์พอร์ตก็จะเจอทะเลแบบนี้เลย :))
เดินถ่ายรูปเล่นๆเพลินๆ


เนื่องจากว่าตอนที่มาครั้งแรก ถึงแม้ไม่ได้ไปเกาะก็ขอออกไปถ่ายรูปเล่นซะหน่อย เลยนั่งเรือฟรีของโรงแรมเข้าเกาะที่เป็นเมืองหลวงของมัลดีฟส์ชื่อว่ามาเล่ แต่ก็เป็นเกาะที่เล็กมากๆ ประมาณ 2 ตร.กม.เอง ประมาณว่าเดินเที่ยวได้รอบเกาะนั่นแหละ

นี่คือ Islamic Centre หรือมัสยิดกลางของเกาะ ถือว่าเป็นสถานที่สำคัญที่สุดของเกาะเค้าเลย
สถานที่ท่องเที่ยวอีกที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั่นแหละ แต่ว่าคืออะไรก็จำไม่ได้แล้วอ่า -*-

เดินย้อนมาทางท่าเรืออีกหน่อย ก็จะเจอกับตลาดปลาที่หน้าตาเป็นแบบนี้


ตลาดปลา ที่ฝั่งตรงข้ามจะมีเรือประมงจอดเต็มไปหมด
แล้วก็เอาปลามาวางขายกันสดๆที่นี่

คนก็จะมาเลือกซื้อกันไปแบบนี้

เรือประมงที่จอดเทียบท่าอยู่เต็มไปหมด เพราะว่าอาชีพหลักของประเทศนี้อันดับหนึ่งคือการท่องเที่ยวแล้ว อันดับสองคือประมงเนี่ยแหละ

เดินมาอีกนิดนึงก็จะเจอกับตลาดผลไม้ ตอนแรกเราก็วาดภาพไว้ซะเลิศหรู อุ้ย เดี๋ยวจะซื้อผลไม้นั่นนี่มาไว้กินที่โรงแรม แต่พอมาเจอตลาดของจริงแบบนี้ ขอบายค่าาาาา


ส่วนคนนี้คือคุณลุงที่ขายของอยู่ตลาดผลไม้ ซึ่งด้วยความสงสารลุง เลยอุดหนุนน้ำมะพร้าวลูกนี้ไปซะหนึ่งดอลล่าห์


ขอไปก่อนละกันนะคะ ตอนนี้เปื่อยมากมาย พรุ่งนี้ต้องทำไฟลท์กลับแต่เช้าเลย แต่อยากบอกว่าหนึ่งเดินที่หายไป มีอะไรรออัพอีกเพียบบบบ ไม่ว่าจะเป็นซูริค, เจนีวา, มิวนิค, และทุกที่หนาวม๊ากกก และเมื่อวานเพิ่งกลับมาจากลอนดอน ถึงได้เปื่อยกลับมาอย่างที่บอกอะค่ะ