Thursday, December 22, 2011

วันใบไม้เปลี่ยนสีที่ปราสาทโอซาก้า

เย้!!!!!!! ในที่สุดก็ได้กลับไปโอซาก้าอีกครั้ง โอซาก้าทริปนี้ไปตั้งแต่ต้นเดือนมาแล้วแน่ะ ทริปนี้ได้ไปกะพี่นัท พี่สาวใจดีที่บินด้วยกันคราวนี้เป็นครั้งที่สามแล้ววว พอมีเพื่อนเที่ยวแบบนี้ก็มันส์อีกแล้วสิ วู้ววว ดีจายยย แล้วคราวนี้ก็ได้ไปปราสาทโอซาก้าซักที.....ตามรอย...รักไม่มีวันตาย...ฮิ้วววววว

วันแรกที่ไปถึงก็เย็นมากแล้ว ประมาณหกโมงครึ่งถึงเกือบทุ่มนึงได้ แต่ก็ขอออกไปหาอะไรญี่ปุ่นๆกินกันซะหน่อยดีกว่า มาถึงญี่ปุ่นทั้งทีนี่โนะ แหม อย่าว่างั้นงี้เลยนะตัวเอง บินมาเหนื๊อย เหนื่อย พองานเสร็จแล้วก็ขอพักผ่อนหย่อนใจกะเค้าบ้าง หาไรกินอร่อยๆให้คุ้มกะแรงงานที่เสียไป (มันจะเว่อร์ทำไมฟระ ฮ่าๆๆ)

แต่อยากบอกว่าสองสาวนี่ทำเวลาสุดๆ ขึ้นห้องปุ๊บ เปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาปั๊บเลย เนื่องจากต้องลงมาให้ทันรถ shuttle bus รอบทุ่มครึ่ง ไปถึงโอซาก้าสเตชั่นสองทุ่ม จะได้มีเวลากินแบบไม่รีบมาก เพราะรถเที่ยวสุดท้ายจะออกจากที่นั่นสี่ทุ่ม มีเวลากันนิดๆหน่อยๆก็จะไป (แหม ก็เวลามีน้อยใช้สอยอย่างประหยัดเนอะ)

ถึงโอซาก้าสเตชั่นแล้วก็เดินลงไปข้างล่างในสถานี มันจะมีร้านขายของกะร้านอาหารเยอะ แล้วพี่สาวใจดีเราก็แนะนำร้านนี้มาเลยยย บอกว่าเด็ดมากกก ต้องลอง เราก็จะช้าอยู่ไย ไปกันเลยค่ะคุณพี่

เดินเข้ามาในร้านจะเป็นร้านเล็กๆ ไม่มีโต๊ะให้นั่งแต่จะนั่งกินกันหน้าเคาท์เตอร์ บนเคาท์เตอร์ก็จะมีเครื่องเคียงพวกนี้ไว้ให้

แล้วก็ได้เวลาสั่ง เราเพิ่งมาครั้งแรกก็ไม่รู้อะไรอร่อย แต่พี่สาวว่าข้าวเทมปุระราดแกงกะหรี่น่ะเด็ด ก็เลยต้องจัดมาลองจั๊กหน่อย ก็เลยสั่งหน้ากุ้งไปกันทั้งคู่ ระหว่างรอก็ถ่ายรูปเล่นกันอยู่สองคน
รอได้พักเดียว และแล้วเค้าก็มาาาาาาาา

น่ากินม้ายยยยยย ส่วนจานนี้ของคุณเจ้ เหมือนกัน แต่พอโรยผักแล้วน่ากินขึ้นเป็นกองเลยโนะ
และพอหลังจากกินเสร็จก็เดินเล่นที่แถวนั้นกันต่ออีกพัก เดินไปเดินมาก็ออกไปเจอกะไอ้เจ้าสโนวแมนยักษ์ตัวนี้
จ๊ากกกก มันยักษ์มากกก ดูขนาดตัวเราสิ เที่ยบกะคุณพี่สโนวแมนแล้วยังกะแกงค์อ้วนผอม 555
ถ่ายรูปกันเสร็จก็ได้เวลากลับโรงแรมไปนอนหลับเป็นตาย นอนเอาแรงไปบินไปกลับโอซาก้า-นาริตะวันรุ่งขึ้นต่อ แล้วพอกลับมามาจากนาริตะ ถึงโรงแรมตอนกลางคืน ก็คุยกะเจ้ว่าพรุ่งนี้ไปเที่ยวไหนกันดี เนื่องจากว่าเราเคยมาแค่ครั้งที่สองเลยยังไม่เคยออกไปไหนเลย (นอกจากช็อปปิ้งอะนะ) แต่ว่าเจ้เค้าเคยไปมาหมดแล้ว ก็เลยบอกเจ้ไปว่าอยากไปปราสาทโอซาก้า เจ้บอกว่าก็ดีเหมือนกัน เจ้จะได้ไปเก็บรูปตอนนี้ที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเข้าหน้าหนาว ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ตกลงได้ดังนั้นก็ขึ้นห้องนอนโลด พรุ่งนี้นัดกันตั้งแต่เช้า

วันรุ่งขึ้นก็ได้เวลาเที่ยวอีกแล้ว วู้วววววววว
ชักภาพเป็นที่ระทึก เอ้ย ระลึกกันก่อนออกเดินทางงงง อันนี้ยังอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรม แล้วเราก็ออกไปขึ้นรถบัสของโรงแรมไปที่สถานีรถไฟ

จากนั้นไม่นาน เราก็มาเถิงงงงงงง


พอเดินออกจากสถานีรถไฟไปแล้วก็พบว่า............มันเหลืองม๊ากกกกกกก  แบบว่าสีมันสดใสม๊ากกก สวยไปอีกแบบเนาะ
อันนี้ เหลืองทั้งใบไม้ทั้งหน้าคนเลย ฮ่าๆๆ
หลังจากนั้นเราก็เริ่มถ่ายรูปกันอย่างบ้าคลั่ง 55555 ถ่ายกันตั้งแต่สวนสาธารณะระหว่างทางเดินไปปราสาทนั่นหละ
สองสาวสองมุม



ก็เดินกันไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปกันไปเพลินๆ มีความสุขขขข รูปนี้แอบอยากทำให้ดูโรแมนติค 555 บรรยากาศมันพาไปเน้ออ

ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีนี่ก็สวยไปอีกแบบเนาะ เพราะมันไม่ได้เปลี่ยนไปแค่สีเดียว มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนกว่าใบจะร่วงไป อย่างต้นนี้นี่ใบเริ่มจะแดงแล้ว
เห็นอะไรสวยๆแบบนี้ คุณสองสาวไม่มีพลาดอ่ะ รีบเข้าไปทำโรแมนติคโดยด่วน 555
ตอนนี้ท่านผู้อ่านคงจะงงแล้ว ว่ายัยสองสาวนี่จะไปถึงปราสาทกันไหมวันนี้ เดินมากันได้ประมาณสิบห้านาทีได้แล้ว บวกแวะถ่ายรูปอีกสิบห้านาที เดินมาจะครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่ถึงซะทีวุ้ย

เอ้า ขอรูปริมน้ำซะหน่อย
นั่น มันยังจะถ่ายอีก เอิ๊กกกกก

เอ้า ก็เดินไปอีกนิดก็เห็นปราสาทอยู่ลิบๆโน่นแย้ววววว

หาปราสาทเจอกันไหมเอ่ย มันลิบๆจิงๆนะเออ

เอ้า ใกล้ปราสาทซักที ใกล้เข้าไปอีกนิด...ชิดๆเข้าไปอีกหน่อย (ฮ่วย ไม่ใช่แล้ว!) เดี๋ยวเราเดินข้ามสะพานนี้ไปก็จะถึงแล้ว ฮึ่ย เหนื่อย (ถ่ายรูป) วุ้ย!
ทางนี้เป็นทางเข้าปราสาทจากด้านหลัง แล้วพอเราเดินข้ามสะพานไปปู้บบบบ ก็จะเห็นทางเดินเข้าไปปราสาท

แต่...ช้าก่อน

เราเดินไปเจอกับคุณลุงรับวาดรูปคนนี้ ซึ่งเจ้เค้ามาครั้งที่แล้วๆเค้าให้คุณลุงวาดให้แล้ว ครั้งนี้เราเลยขอบ้างงงงง เจ้บอกว่าเอาเลย คุณลุงวาดแป๊บเดียว แถมแค่ 200 เยนเอง เก็บไว้เป็นที่ระลึกนะ เราก็ เอ้าๆ เอาก็เอา ก็เลยได้ลงเอยกะคุณลุงก่อนไปปราสาท (เจ๊ยยย 18+  ด่วน น้องๆอ่านแล้วอย่าทำตาม 555)
 คุณลุงวาดอยู่ประมาณสิบกว่านาทีได้มั้ง เร็วมากกก โปรมากก เสร็จแล้วผลก็ออกมาเป็นเช่นนี้แล

 หน้าอวบอูมสมจริง คุณลุงนะ จะวาดให้หนูดูแอบสวยหน่อยก็มะได้ เอาหน้าซะอูมสมจริงเชีย อร๊ายยยยย

เสร็จภารกิจล้านแปดก็เป็นอันถึงปราสาทพอดี วู้วววววววว

 ภาพปราสาทจากทางด้านหลัง


ปราสาทก็ดูสวยดี ดูญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นเนอะ แล้วเราก็เดินอ้อมไปถ่ายรูปด้านหน้าปราสาทกันบ้าง
 ถ่ายเงาเก็บไว้ด้วย ("เออ มันถ่ายกันได้ทุกอย่างจริงๆ" ท่านผู้อ่านกะลังคิดงี้ช่ายมะ งอลลล)
 ก็ถ่ายรูปกันได้สักพักก็ต้องรีบออกเดินทางกันต่อ เนื่องจากจุดหมายปลายทางต่อไปคือชินไซบาชิ.....ได้เวลาช็อปปิ้งอีกแล้ววววว

แต่ก่อนกลับก็เก็บภาพกันต่ออีกนิดหน่อย (เมมโมรี่ไม่เต็มไม่กลับ ไรประมาณนี้ 555)
 เนื่องจากเราไม่ได้เข้าไปดูข้างในปราสาท ก็เลยถ่ายรูปเล่นๆกันแถวหน้าปราสาทนั่นหละ

ถ่ายไปถ่ายมา แอบเห็นมีจักรยานใครจอดอยู่แว้ หันซ้ายหันขวาไม่มีใคร น่านนนน....เสร็จโจรเลย โดนจับมาเป็นพร็อพซะหน่อย ฮ่าๆ
หลังจากนั้นก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ
เค้าไปล่ะนะ

.
.
.
.
.
.
แล้วเราก็มาถึงชินไซบาชิกันในเวลาต่อมา ขอถ่ายกะสัญลักษณ์ขึ้นชื่อซะหน่อย

ได้เวลาช็อปแล้ววววววว
 ไปแล้วนะคะ บ๊าย บายยยย 

I'm gonna miss you, Fantina.

สวัสดีค่ะทู้กคนนนน


ก่อนอื่น ขอโทษด้วยการกราบแทบเท้าทุกคนงามๆกับการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของข้าพเจ้านะเจ้าคะ วันนี้กลับมาแล้นนนนน พร้อมกับเรื่องราวที่จะอัพอีกเป็นกระบุงเลย แต่วันนี้ขอเขียนเรื่องเพื่อนสนิทคนนี้ก่อนนะ


เพื่อนคนนี้ชื่อว่าหลิว ฟ่างย่าน หรือชื่อภาษาอังกฤษของเธอคือฟานทีน่า เป็นรูมเมทเก่าของเราเอง เป็นคนจีน และเป็นเพื่อนชาวต่างชาติที่เราสนิทด้วยที่สุดก็ว่าได้

ฟานทีน่าเป็นรูมเมทหนึ่งในสองคนของห้องเก่าเราก่อนที่เราจะย้ายออกมา เธอมาทำงานที่นี่พร้อมกันกับเรา เพราะฉะนั้น นอกจากเธอจะเป็นรูมเมทเราแล้ว เธอยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่เทรนรุ่นเดียวกันด้วย เพราะฉะนั้นตอนที่เราเพิ่งมาใหม่ๆ ตอนที่ยังเทรนอยู่ หลังจากเทรนเสร็จกลับมาบ้านตอนบ่าย เราก็จะมานั่งติวหนังสือกัน ทำอาหารเย็นกินด้วยกันตลอด ส่วนรูมเมทอีกคนหนึ่งนั้นเทรนช่วงบ่าย จึงไม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันกับเราสองคนมากนัก จึงไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่

อยากบอกว่าเรากับฟานทีน่าค่อนข้างสนิทกันมากทีเดียว เวลามีอะไรเธอจะเล่าให้เราฟังตลอด อย่างเช่นมีอยู่วันหนึ่ง เราก็คุยกันเรื่องครอบครัว พ่อแม่ทำอะไร มีพี่น้องกี่คนอะไรแบบนี้ เธอก็เล่าให้เราฟังว่าเธออยู่บ้านกับพ่อแค่สองคน เนื่องจากแม่เธอเสียด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เป็นลูกคนเดียว เธอจึงโตมากับพ่อและย่าที่มีบ้านอยู่ในละแวกเดียวกัน เราได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกสงสารเธอจัง แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังไงเธอก็ยังโชคดีที่มีพ่ออยู่ และยังได้มาทำงานที่นี่ ที่ซึ่งพ่อเธอน่าจะวางใจว่าเธอดูแลตัวเองได้

แต่หลังจากมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน น่าจะไม่เกินหกเดือน มีอยู่วันหนึ่งเราตื่นขึ้นมาแต่เช้า ทำโน่นทำนี่ในห้องไปเรื่อยๆ เราได้ยินเสียงฟานทีน่าคุยโทรศัพท์ แล้วจู่ๆก็ได้ยินเสียงร้องไห้แบบดังมากออกมาจากห้องเธอ มันเป็นเสียงร้องไห้ที่โหยหวนแบบแทบขาดใจ เป็นเสียงที่เรายังคงจำได้ดี

ตอนนั้น เราตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เราเปิดประตูห้องเราออกไปเพื่อจะไปเคาะห้องถามเธอ รูมเมทอีกคนก็เปิดประตูห้องออกมาพร้อมกัน เธอคงได้ยินเสียงนั้นพร้อมๆกันกับเรา เพราะเธอก็ทำหน้าตกใจอยู่ไม่น้อย เราสองคนมองหน้ากันแว่บหนึ่งก่อนที่จะคุยกันว่าเราควรจะเคาะประตูห้องถามฟานทีน่าหรือไม่ แต่เราสองคนยังคงได้ยินเธอคุยโทรศัพท์พร้อมกับเสียงร้องไห้อยู่ไม่ได้ขาด จึงลงความเห็นกันว่าจะรอให้เธอคุยโทรศัพท์เสร็จก่อน เราสองคนจึงกลับเข้าห้องตัวเองไป

หลังจากนั้นไม่นานนัก ฟานทีน่าเดินมาเคาะประตูห้องเราและบอกกับเราว่าพ่อเธอเสียแล้ว ตอนนั้นเราตกใจมากแต่เราคิดว่าเธอคงตกใจและเสียมากกว่าเราร้อยเท่าพันเท่า เธอบอกว่าเธอต้องไปทำเรื่องกลับบ้าน เพราะเธอต้องกลับไปงานศพพ่อ ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะพูดยังไงกับเธอ ไม่รู้จริงๆนะ ไม่รู้จะปลอบเธอว่ายังไง ได้แต่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตอนเธอร้องไห้เพราะคงไม่มีอะไรที่เราสามารถทำได้มากกว่านี้แล้ว

ตอนนั้นเราก็ได้แต่คิดว่าทำไมนะโลกช่างโหดร้ายกับเธอ เธอมาอยู่ที่นี่ไม่ได้เจอพ่อตั้งหลายเดือน จู่ๆพ่อก็เสียไปยังไม่ทันได้ร่ำลา

แต่หลังจากที่เธอกลับบ้านไปเป็นเวลาสิบวัน เธอกลับมาด้วยแววตาที่สดใสกว่าเก่า เธอมีรอยยิ้มให้เราเห็น ถึงแม้เธอจะบอกกับเราว่า "Basically speaking, I'm alone now. And my house is the only thing dad has left for me." แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยิ้มและหัวเราะกับเราได้แล้ว เราเชื่อว่าเธอทำใจได้แล้ว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมเธอทำใจได้เร็วมาก แต่น่าจะเป็นเพราะว่าเธอมีกำลังใจที่ดีที่บ้าน เห็นแบบนั้นแล้ว เราก็ค่อยสบายใจขึ้นมา

และหลังจากนั้นไม่นาน เราก็ย้ายห้องออกมาเพื่อมาอยู่กับเพื่อนคนไทยด้วยกันที่ห้องตรงข้ามกับห้องเก่า และเพื่อหนีจากรูมเมทอีกคนหนึ่งด้วย ทำให้เธอต้องอยู่กับรูมเมทคนนั้นไปก่อน ก่อนที่จะมีรูมเมทใหม่ย้ายเข้ามาแทนที่เรา ก่อนเราตัดสินใจย้าย เธอบอกเราว่าได้โปรดอย่าทิ้งให้เธออยู่กับรูมเมทคนนั้นเลย เราได้แต่ขอโทษเธอและบอกว่าเราทนไม่ไหวจริงๆ

หลังจากที่เราย้ายห้องออกมา เราก็ไม่ค่อยได้เจอฟานทีน่าเหมือนแต่ก่อน แต่เราก็คุยกันว่ายังไงเราก็ต้องออกไปกินข้าว เดินห้าง ซื้อของกันเดือนละครั้งในวันที่เราหยุดตรงกัน ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนก่อน แต่เราก็ยังคงรู้สึกว่าเรายังอยู่ใกล้ๆกัน เพราะยังไงห้องเราก็ยังคงอยู่แค่ตรงข้ามกัน ไม่ได้จากกันไปไหนไกล

นี่ก็เป็นหนึ่งในวันที่เรานัดออกไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารไทย



ผัดหมี่

ต้มยำกู้งงงงง

หลังจากย้ายห้องออกมาได้ประมาณสองเดือน เช้าวันหนึ่งฟานทีน่าก็โทรเข้ามือถือเรา โทรมาปลุกเราแต่เช้า ซึ่งบังเอิญว่าเป็นวันหยุดเราพอดี เราจึงอยู่ที่ห้อง เธอถามเราว่าว่างไหม เธอมีเรื่องอยากคุยกับเรามากมาย

เราจึงเดินไปที่ห้องเธอ เราสองคนจึงเล่าเรื่องราวต่างๆในชีวิตช่วงที่ผ่านมาให้กันและกันฟังหลังจากไม่ได้เจอกันนาน เราคุยกันอยู่ประมาณสองชั่วโมงได้ เพราะมีเรื่องคุยเยอะมากจริงๆ

เธอบอกเราว่าเธอเพิ่งโดนแฟนบอกเลิก เธอเสียใจมากๆ และเธอก็ทะเลาะกับรูมเมทอีกคนนึงเพราะเธอก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน แถมตอนนี้ย่าเธอก็เข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดอีก

เธอต้องการเวลาพัก เธอต้องกลับบ้าน เธอทนไม่ไหวแล้วกับชีวิตที่นี่ การอยู่ที่นี่ไม่ได้มีความสุขอีกต่อไป เธอต้องการเวลาเพื่อหลีกหนีจากทุกสิ่งที่นี่ เวลาที่จะช่วยเยียวยาให้เธอดีขึ้นในบรรยากาศใหม่ๆที่จะทำให้เธอพอจะลืมเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง

วันนั้นเราจึงไปทำเรื่องขอกลับบ้านเป็นเพื่อนเธอ ซึ่งบริษัทก็อนุญาตให้เธอกลับได้เป็นกรณีพิเศษในคืนนั้นเลย

หลังจากเธอกลับบ้านไปได้สิบกว่าวัน เธอกลับมาแล้วมาหาเราบอกว่าเธอกลับมาช้ากว่ากำหนดหนึ่งวัน เนื่องจากว่าเธอรู้สึกว่าเธอยังไม่อยากกลับมาที่นี่ บริษัทจึงให้ใบเตือนกับเธอ และผลของการกลับมาทำงานไม่ทันคือเธอจะไม่สามารถกลับบ้านที่จีนได้ถ้าเธออยากกลับในวันหยุดเป็นเวลาสามเดือน

ทั้งหมดทั้งมวลนี่รวมกันทำให้เธอบอกกับเราว่าเธอตัดสินใจแล้วว่าจะลาออก!

เราบอกเธอว่าคิดดูให้ดีๆนะ แน่ใจแล้วเหรอ ออกแล้วจะไปทำอะไร เราถามเธอโน่น นี่ นั่นสารพัด เพื่ออยากให้เธอคิดไตร่ตรองดูอีกครั้งว่านี่เป็นแค่การตัดสินใจชั่ววูบหรือเปล่า แต่เธอก็ยังยืนยันกับเราหนักแน่นว่าเธอแน่ใจแล้ว เธอจะกลับไปสมัครสายการบินอื่นที่อาจจะได้เบสในจีน และเธอก็พอจะมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งจากการสะสมมาเป็นปีที่ทำงานที่นี่ แล้วอีกอย่างเธอก็อาจจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับอาชีพนี้ด้วยเพราะมีคนติดต่อผ่านบล็อกที่เธอเขียนมาแล้ว

ได้ยินอย่างนั้น เราก็ดีใจและมีความสุขกับเธอไปด้วย คนอื่นอาจจะมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ แต่กับเธอไม่ใช่ แต่เราก็ยังดีใจที่เธอหนักแน่นและเข้มแข็งพอที่จะทำในสิ่งที่เธอคิดว่าดีกับเธอ สิ่งที่จะทำให้เธอมีความสุข

และหลังจากที่เธอยื่นใบลาออก อีกหนึ่งเดือนหลังจากนั้นคือวันเดือนทางกลับของเธอ และเราก็นัดกินข้าวเลี้ยงส่งกันก่อนที่เธอจะไป และก็ถือโอกาสนี้ถ่ายรูปเล่นกันเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ห้างวิลาจจิโอ้ ที่ตกแต่งให้เหมือนเวนิส

 





 นี่ก็เป็นร้านอาหารจีนที่ไปกินกันบ่อยๆ และนี่ก็เป็นวันที่ไปกินกันสามวันก่อนเธอกลับ ที่ร้านแอบมีอะไรน่ารักๆให้ถ่ายรูปเล่นด้วยหละ
หน้าร้านมีอาตี๋กะอาหมวยต้อนรับ

โคมไฟสวยๆ

ตุ๊กตาจีนและชุดโต๊ะกินข้าวไซส์จิ๋ว

ข้างในร้าน จีนจริงๆนะเออ


ตรงเคาน์เตอร์มีน้องแมวกวักด้วยนะ


จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็เดือนกว่าแล้วที่เธอกลับบ้านไป แต่ก่อนไปเธอบอกเราว่าให้ขอไฟลท์ไปเมืองของเธอที่จีน ที่ชื่อฉงชิ่ง ที่บริษัทเรากำลังจะเปิดใหม่พอดี แล้วเธอจะพาเราเที่ยว แล้วปรากฏว่าเราขอได้ด้วย แถมได้วันหยุดมาหนึ่งวันที่นั่น เราดีใจกันมากกกกกกที่ได้รู้ว่าเดี๋ยวจะได้เจอกันอีก

และเดี๋ยวมะรืนนี้เราจะไปลอนดอน กลับมาจากลอนดอนก็ได้ไปฉงชิ่งแล้ว แล้วเดี๋ยวเราจะกลับมาอัพเดทเรื่องราวของเธอแน่นอน แถมไฟลท์นี้จะเป็นไฟลท์จีนไฟลท์แรกตั้งแต่บินมาด้วย อร๊ายยยย ตื่นเต้นนนนน แต่ตื่นเต้นมากกว่าที่จะได้กลับไปเจอเธออีกครั้ง แล้วเจอกันใหม่ค่ะ ทั้งฟานทีน่าและทั้งคนอ่าน รักนะ ชุบุ ชุบุ